top of page

บทสรุปมิชชั่นทริปจ.ตาก เซลจุฬาฯ โดย สต๊าฟเปา

บทสรุปมิชชั่นทริป "ทาก" เอ้ย "ตาก" กับเซลจุฬา โดย สต๊าฟเปา

  • ณ แคมป์ผู้ลี้ภัยจากพม่า

  • สิทธิเสรีภาพกับผู้ลี้ภัย

  • ทากดูดเลือด

  • จัดค่ายอนุชน คจ.สมานสามัคคี ตาก

  • สิ่งที่นิสิตจุฬาฯ ได้รับ

    ____________________________________


ณ แคมป์ผู้ลี้ภัยจากพม่า

1- ในวันที่ 23-27 ตุลาคม 2024 ที่ผ่านมา ขอบคุณพระเจ้าที่ผมได้มีโอกาสพานิสิตจุฬาฯ จำนวน 3 คน ไบรท์ ไจแอนท์ และยีนส์ เดินทางไปทำพันธกิจที่ จ.ตาก ตามคำเชิญชวนของเป๊ปซี่ ที่มีภาระใจกับอนุชนที่คริสตจักรสมานสามัคคีตาก เราก็เลยคุยกันว่าน่าจะดีถ้าจะพานิสิตจุฬาฯ ไปสอนน้อง ไปเป็นแรงบันดาลใจในการเรียนต่อให้กับน้องอนุชนที่ตาก พวกเราก็เลยวางแผนไปกัน และก็เลยคิดว่าขอพาพ่อไปด้วย เพื่อจะให้พ่อช่วยขับรถจาก กทม. ไปถึงตาก


2- ในวันแรกๆ พวกเราไปแม่สอด ไปดูงานแคมป์ผู้ลี้ภัยที่มีผู้ลี้ภัยเยอะมาก ประมาณ 13,000 คน โดยแคมป์นี้ได้รับการสนับสนุนจาก UN สภาพแคมป์จึงดูดีใช้ได้เลย อาจจะไม่ได้ถึงขั้นอยู่สบาย แต่ก็ไม่ได้แย่ ทุกคนในแคมป์มีอาหารกิน 3 มื้อ มีโรงเรียน มีห้องพยาบาล มีโรงเรียนพระคริสตธรรมที่มีนักศึกษากว่า 600 คน และหลายคนสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้อย่างดี

____________________________________


สิทธิเสรีภาพกับผู้ลี้ภัย

3- พอพวกเราไป ผอ. รร. พระคริสตธรรม KKBBSC (Kawthoolei Karen Baptist Bible School & College) ก็ได้จัดงานต้อนรับพวกเราอย่างดี ได้ฟังเพลงพิเศษที่ไลน์ประสานเสียงเพราะมากๆ


4-ให้พวกเราได้พูดคุยกับนักศึกษาพระคริสตธรรมที่นั่น พวกเราก็ได้พูดคุยกันหลายเรื่องทีเดียว โดยส่วนใหญ่ก็คุยเรื่องสภาพความเป็นอยู่ การใช้ชีวิตในแคมป์ และก็คุยเรื่องสิ่งที่ผู้ลี้ภัยอยากจะให้เกิดขึ้นในประเทศไทย เช่น การเข้าถึงการศึกษา การเข้าถึงการทำงาน การเข้าถึงการรักษาพยาบาล ฯลฯ


5- ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายทีเดียว ที่จะได้สิทธิแบบนั้น พวกเราได้ยินมาว่าผู้ลี้ภัยหลายคนที่เกิดในประเทศไทย ก็ไม่ได้สัญชาติไทย เลยทำให้ไม่สามารถออกนอกแคมป์มาใช้ชีวิตอย่างคนปกติได้ และประเทศไทยก็ไม่ได้ให้สิทธิเสรีภาพกับผู้ลี้ภัยขนาดนั้น


6- คำถามสำคัญก็คือ ทางออกของเรื่องนี้อยู่ที่ตรงไหน? ก็ต้องยอมรับว่า "ไม่รู้" ผมก็แชร์ว่าในฐานะคนทำงานในองค์กรคริสเตียน ก็คงทำได้แค่สร้างภาระใจให้กับคริสตจักรไทยที่จะหาทางแสดงความรักกับคนอีกมากมายที่ต้องการความช่วยเหลือ และก็หวังว่าสักวันหนึ่งจะมีนักการเมืองคริสเตียนที่จะแก้ปัญหานี้ในเชิงระบบให้ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ไม่รู้จริงๆว่าจะเกิดขึ้นวันไหน และก็หวังว่าสถานการณ์ในพม่าจะสงบโดยเร็ว เพราะผู้ลี้ภัยบางคนก็ไม่ต้องการไปประเทศที่สาม อยากจะกลับไปบ้านเกิดมากกว่า

____________________________________


ทากดูดเลือด

7- วันต่อมา เป๊ปซี่ก็พาพวกเราไปพักผ่อนที่อุทยานตากสิน เป็นเส้นทางเดินป่าที่โหดมาก 555 น้องไบรท์โดนปลิง+ทากดูดจากแผลเดียวกัน ปรากฏว่าเลือดออกนึกว่าผ่านสงครามโลกมา หวังว่าจะเป็นประสบการณ์ที่ดี

____________________________________

 

จัดค่ายอนุชน คจ.สมานสามัคคี ตาก

8- และในวันที่มีค่าย พวกเราก็ทำงานเป็นทีม ช่วยกันแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างดี พวกเราก็สอนหลายเรื่อง เช่นว่า พระเยซูเท่านั้นที่เป็นทางเดียวไปสู่ความรอด การรักษาชีวิตให้บริสุทธิ์อย่างดาเนียล การมีประสบการณ์กับพระเจ้าในชีวิตคริสเตียน พวกเราก็หวังว่าน้องอนุชนที่ตาก และคริสตจักรรอบๆ ข้างจะได้รับประโยชน์อย่างมากมาย

9- ขอบคุณคริสตจักรสมานสามัคคีตากที่ดูแลทีมของเราอย่างดีมาก จัดเตรียมที่นอน จัดเตรียมอาหาร จัดเตรียมอุปกรณ์การเรียนการสอนให้เราครบครัน และได้ให้เวทีกับนิสิตจุฬาฯสอนพระธรรมดาเนียลกับน้องๆที่มาร่วมค่าย ผมคิดว่าเป็นประโยชน์กับนิสิตมากๆ ที่ทำให้พวกเขาน่าจะมีภาระใจอยากออกไปสอนพระคัมภีร์แบบนี้กับคริสตจักรนอก กทม. อีกหลายแห่ง เพราะพวกเราก็คุยกันระหว่างเดินทางกลับว่ามีคริสตจักรอีกหลายที่ ที่ต้องการการฟื้นฟูในลักษณะนี้ หวังว่าพวกเราจะได้ร่วมงานกับคริสตจักรสมานสามัคคีตากอีกนะครับ ถ้ารอบหน้าได้กลับไป เราจะมีทีมใหญ่กว่าเดิม

____________________________________

อะไรคือสิ่งที่ผมคิดว่านิสิตจุฬาฯได้รับมากที่สุดจากทริปนี้?

ผมคิดถึงพระธรรมยอห์น 1:39-41 ก็คือ

10- พระองค์ตรัสตอบพวกเขาว่า “มาดูเถิด” เขาก็ไปและเห็นที่ซึ่งพระองค์ประทับ และวันนั้นก็พักอยู่กับพระองค์ เพราะขณะนั้นประมาณสี่โมงเย็นแล้ว คนหนึ่งในสองคนนั้นที่ได้ยินยอห์นพูดและติดตามพระองค์ไป คืออันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตร แล้วอันดรูว์ก็ไปหาซีโมนพี่ชายของตนก่อน และบอกเขาว่า “เราพบพระเมสสิยาห์แล้ว” (ซึ่งแปลว่าพระคริสต์)"

11- ในวันนั้นที่ศิษย์ของยอห์นอยากรู้จักพระเยซู พระเยซูก็พูดกับพวกเขาว่าให้ "มาดูเถิด" พวกเขาก็ตามพระเยซูไป และพระองค์ใช้เวลากับพวกเขาตลอดทั้งคืน จนทำให้อันดรูว์ที่เป็นสาวกคนหนึ่งยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ ผมพบว่าการจะสร้างใครสักคนหนึ่งเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ ต้องทำตามอย่างพระเยซูคริสต์ ก็คือใช้เวลากับคนที่เราอยากดูแล จนเขารู้จักพระเยซูคริสต์มากขึ้น


12- ในการมามิชชั่นรอบนี้ ผมคิดว่าผมได้พาน้องมาเห็นชีวิตของผม พาน้องมาเห็นชีวิตของพ่อผม พาน้องมาเห็นชีวิตของเป๊ปซี่ พาน้องมาเห็นชีวิตของผู้นำคริสตจักรที่ตาก ซึ่งผมเชื่อว่าน้องๆจะเห็นวิถีชีวิตอย่างสาวกของพระคริสต์มากขึ้น และนี่แหละ ทำให้ผมเข้าใจว่าการออกมามิชชั่นแบบนี้ ไม่ได้เป็นพระพรแค่กับคนอื่นเพียงอย่างเดียว แต่เป็นพระพรกับพวกเราทุกคนด้วย


หวังว่าจะได้ออกไปมิชชั่นด้วยกันอีกนะครับ


ขอบคุณผู้ถวายทุกท่านที่สนับสนุนพันธกิจ นคท. เสมอมานะครับ


ชลวีร์ วัฒกีเจริญ

สต๊าฟพันธกิจนักศึกษา

ดู 15 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments


bottom of page