เฮ้อ!!! ไม่ได้ไปโบสถ์ในช่วงโควิด ทำไงดี!!
top of page

เฮ้อ!!! ไม่ได้ไปโบสถ์ในช่วงโควิด ทำไงดี!!

อัปเดตเมื่อ 18 เม.ย. 2563


หลายคนอาจคิดว่าโควิดได้ส่งผลเสียร้ายแรงต่อคริสเตียนทั่วโลก เพราะทำให้คริสเตียนไม่สามารถไปนมัสการที่โบสถ์ได้ แต่ผมกลับคิดตรงกันข้าม ผมเชื่อว่าโควิดก็ยังมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นกับคริสเตียนทุกคน เพราะโควิดทำให้หลายคนตั้งคำถามกับตัวเองว่า “คริสตจักรคืออะไร” และ “ทำไมเราถึงต้องไปโบสถ์?”

ก่อนหน้านี้ ผมเชื่อว่าคริสเตียนบางคนไม่เคยตั้งคำถามนี้กับตัวเองมาก่อน เพราะมีความเข้าใจว่าเมื่อเป็นคริสเตียนก็ต้องไปโบสถ์สิ ชาวคริสต์เขาทำกันแบบนั้น แถมบางคนก็ไปโบสถ์ตั้งแต่เด็ก เป็นความเคยชินที่ต้องพาตัวเองมาอยู่ที่โบสถ์ในเช้าวันอาทิตย์ แม้ว่าจะไม่อยากตื่นยังไงก็ตาม ก็ต้องปลุกตัวเองขึ้นมาเพื่อไปโบสถ์ ไปเจอพี่ๆน้องๆ ร้องเพลง ฟังเทศนาหลับบ้างตื่นบ้าง กินข้าวเที่ยง ร่วมกลุ่มตอนบ่าย ฯลฯ สิ่งเหล่านี้สำหรับหลายคนมันเหมือนเป็นกิจวัตรไปแล้ว


แต่สำหรับบางคนวันอาทิตย์เป็นวันที่มีความหมายมากๆ แม้ว่าบ้านจะอยู่ห่างไกลจากโบสถ์สักแค่ไหนก็จะไป เพราะไปโบสถ์แล้วเหมือนได้รับพลังพิเศษจากพระเจ้าเลยทีเดียว (อารมณ์เหมือนป๊อปอายได้กินผักโขมยังไงยังงั้น 555 เคยดูกันมั้ยนะ)



ทีนี้เมื่อโบสถ์ไม่สามาถจัดรอบนมัสการแบบปกติได้ โบสถ์หลายแห่งก็จัดการนมัสการออนไลน์ ซึ่งสำหรับบางคน ก็เฝ้ารอ Live ถ่ายทอดสดการนมัสการจากคริสตจักร และยังเฝ้ารอการสามัคคีธรรมกับเพื่อนๆผ่าน Application ต่างๆที่ VDO Call ได้


แต่สำหรับบางคน เมื่อมีการนมัสการออนไลน์เป็น option เพิ่มเข้ามา กลายเป็นว่าวันอาทิตย์ก็ไม่ต่างจากวันธรรมดาวันหนึ่ง เพราะว่าในปัจจุบันมีคลิปการนมัสการดีๆทั้งจากไทยและต่างประเทศ และมีคลิปคำเทศนาดีๆ อยู่บนโลกออนไลน์เต็มไปหมด แบบนี้ก็ชิลเลย กลายเป็นว่าเราเลือกที่จะไปโบสถ์ไหนก็ได้ นมัสการด้วยเพลงจากวงดนตรีไหนก็ได้ เลือกฟังเทศน์จากอาจารย์ที่เราอยากฟังได้ นมัสการในช่วงเวลาไหนก็ได้ไม่จำกัดเฉพาะวันอาทิตย์ตอนเช้า สำหรับผมเองถ้าเราคิดแบบนี้ก็ยังดี อย่างน้อยเราก็ยังแสวงหาพระเจ้าอยู่ แต่ก็ยังไม่ดีที่สุด


แต่กับบางคน เมื่อกิจวัตรการไปโบสถ์ถูกทำลายไป ก็กลายเป็นว่าถึงเวลาปลดปล่อยตัวเองเป็นไทจากการไปโบสถ์ รู้สึกเหมือนได้วันอาทิตย์คืนมา ตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่เราจะได้นอนตื่นสาย ดูซีรีส์ในเน็ตฟลิกซ์ที่เราอยากดู และที่สำคัญคือไม่ไปโบสถ์ออนไลน์ เพราะบนหน้าจอ Tablet เดียวกัน มีสิ่งอื่นที่เมื่อเราดูหรือฟังแล้ว น่าจะมีประโยชน์กับชีวิตเรามากกว่า



เมื่อผมเห็นแบบนี้แล้ว ก็รู้สึกหวั่นใจว่า คริสเตียนจะยังอยู่ในความเชื่อที่ถูกต้องเรื่องการไปโบสถ์หรือเปล่า และเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะมาทำความเข้าใจที่ถูกต้องว่า “คริสตจักรคืออะไร?” และ “ทำไมต้องไปคริสตจักร?” (โดยใช้ข้อมูลจากหนังสือการไปคริสตจักรของ นคท.)



คริสตจักรคืออะไร? คริสตจักรมีความหมายใน 2 แง่ด้วยกัน คือ


  1. คริสตจักรสากล หมายถึง ผู้เชื่อทุกคน (ทุกชาติภาษา) ที่บังเกิดใหม่แล้ว บัพติศมาเข้าส่วนในพระกายของพระคริสต์ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต (มัทธิว 16:18)

  2. คริสตจักรท้องถิ่น หมายถึง ผู้เชื่อที่รวมตัวกันขึ้นในท้องถิ่นต่างๆ เช่น คริสตจักรที่เมืองโคโลสี (โคโลสี 1:2) เป็นต้น

เราทุกคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรสากล

และเป็นสมาชิกของคริสตจักรท้องถิ่นแห่งหนึ่งแห่งใดด้วย

(1 โครินธ์ 12:12-13)


การที่ผู้เชื่อเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักร ก็เหมือนอวัยวะต่างๆในร่างกายที่มีพระคริสต์เป็นศีรษะ ไม่มีอวัยวะใดอยู่ได้ด้วยตัวเอง แต่ละอวัยวะต้องติดสนิทเข้าเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายอย่างไร ผู้เชื่อทุกคนก็เป็นส่วนหนึ่งของกันและกันอย่างนั้นด้วย การรวมตัวกันในคริสตจักรท้องถิ่นจึงเป็นที่ที่เราจะได้เชื่อมต่อเข้ากับพระกายของพระคริสต์เพื่อทำให้พระประสงค์ของพระองค์ผู้เป็นศีรษะสำเร็จลุล่วงทั้งในชีวิตส่วนตัวของเรา ของผู้อื่น และของโลกนี้



ทีนี้ถ้าถามว่า ทำไมต้องไปคริสตจักร? ก็มี 4 เหตุผลหลักๆคือ


  1. เพื่อสรรเสริญนมัสการพระเจ้าร่วมกัน ทั้งในพระลักษณะต่างๆของพระองค์ที่สมควรได้รับการสรรเสริญอยู่แล้ว เช่น พระเจ้าพระผู้สร้าง พระเจ้าผู้ครอบครองโลกนี้ พระเจ้าผู้เป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย พระองค์ทรงมีแผนการที่ดีสำหรับผู้เชื่อในพระองค์ และในความรู้สึกกตัญญูที่ได้รับการไถ่บาป และการช่วยเหลือในชีวิตประจำวัน

  2. เพื่อรับการหล่อหลอมให้เป็นเหมือนพระคริสต์ ในคริสตจักรเราไม่สามารถมีสามัคคีธรรมกับคนที่เราชอบเท่านั้น คริสตจักรมีคนทุกแบบ จึงเป็นที่ที่เราจะได้ฝึกฝนชีวิตในความรัก ในความเสียสละ ในความอดทนอดกลั้น ในความถ่อมใจ ในความสุภาพอ่อนน้อม ในการให้อภัย ฯลฯ เพื่อเราจะเติบโตขึ้นในความเชื่อตามแบบอย่างพระคริสต์

  3. เพื่อเสริมสร้างกันและกันให้เติบโต คริสเตียนแต่ละคนมีของประทานไม่เหมือนกัน แต่มีไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน (1 โครินธ์ 12:7) เมื่อทุกคนทำหน้าที่ของตน พระกายของพระคริสต์ก็จะเติบโตไปพร้อมกัน (เอเฟซัส 4:16)

  4. เพื่อให้โลกได้รู้จักพระเจ้า โลกนี้จะรู้จักพระเจ้าเมื่อเขาได้เห็นความรัก และการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคริสตจักร (ยอห์น 17:23, กิจการ 2:47)


จะเห็นได้ว่า ชีวิตคริสเตียนไม่ได้ถูกออกแบบมาให้อยู่คนเดียว (Solo Discipleship) พระคริสต์ได้ทรงชำระเรา และนำเราเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชุมชนอันเป็นนิรันดร์ของพระองค์ มีนักศาสนศาสตร์คนหนึ่งกล่าวว่า



“การอยู่ด้วยกันของคริสเตียนเป็นสิทธิพิเศษ เป็นพลัง และสันติสุขที่ไม่มีอะไรมาเปรียบเทียบได้”

และยังบอกอีกว่า

“เมื่อคริสเตียนมาเจอกัน เราจะได้พบพระเยซูคริสต์จากกันและกัน

และแม้ว่าจะเป็นแค่ช่วงเวาสั้นๆก็ตาม แต่เป็นช่วงเวลาที่มีสันติสุขมากที่สุด”

Dietrich Bonhoeffer said


ดังนั้น เมื่อเรารู้แบบนี้แล้ว เมื่อเราคิดถึงสันติสุขแบบนี้แล้ว “อย่าให้โควิด มาทำให้เราหวิดไปจากการนมัสการพระเจ้า และหวิดไปจากการสามัคคีธรรมของเรากับพี่น้อง”


วันนี้ เรารู้แล้วว่า "มีหลายช่องทางที่เราสามารถร่วมการนมัสการพระเจ้าบนโลกออนไลน์กับพี่น้องได้ "ผมคิดว่าเป็นความอันตรายอย่างมาก ถ้าวันหนึ่งเราไม่สรรเสริญขอบคุณพระเจ้าถึงสิ่งต่างๆที่พระองค์ทรงทำกับเรา เพราะนั่นอาจทำให้เราหลงลืมพระคุณของพระเจ้าได้ และกลายเป็นเราจะคิดว่าเราเองนี่แหละที่เป็นคนทำทุกสิ่งทุกอย่าง ผมว่าอันตรายมากๆ


แต่อย่าลืมที่จะมีสามัคคีธรรมกับพี่น้องนะครับ ขอบคุณพระเจ้าที่ท่ามกลางการ “Social Distancing” แต่เรายังสามารถ “Social Networking” ร่วมกันผ่าน Application ต่างๆได้ วันนี้ผมขอแนะนำ 2 แอพ และกันนะครับ 1. Line VDO Call อันนี้ใช้ได้ฟรีๆเลย 2. Zoom Meeting ต้องเสียเงิน แต่ผมลองใช้แล้วชอบมากๆ เพราะทุกคนสามารถ Share หน้าจอของตัวเองให้คนอื่นดูได้ ทั้งนี้เราสามารถไปหาเพิ่มเติมถึงข้อดี-ข้อเสียของ Application เหล่านี้ได้บน Website ทั่วๆไปนะครับ



มี 3 เทคนิคเล็กๆที่ผมคิดว่าจะช่วยให้การสามัคคีธรรมบนโลกออนไลน์ของเราสนุกมากขึ้น คือ


  1. ตรงต่อเวลา – จัดทำตารางเวลาของการสามัคคีธรรมให้แน่นอน และเมื่อเรานัดหมายกันแล้วต้องเข้ามาให้ตรงเวลา ไม่อย่างนั้นกลุ่มสามัคคีธรรมจะใช้เวลานานมาก เนื่องจากต้องอธิบายให้คนที่มาใหม่เข้าใจทั้งหมดก่อนถึงจะไปกิจกรรมต่อไปได้

  2. พูดทีละคน – การสามัคคีธรรมบนโลกออนไลน์ ไม่เหมือนที่เรามาเจอตัวเป็นๆ ปกติเวลาเรากินข้าวด้วยกันบนโต๊ะอาหาร เราสามารถพูดพร้อมกันได้ มีหลายคู่สนทนาบนโต๊ะอาหารเดียวกันได้ และเรายังเลือกที่จะคุยกับคนหลายคนได้ในเวลาเดียวกัน พูดง่ายๆก็ได้ว่า เราแต่ละคนมีหูมากกว่า 2 หู 555 แต่พอมาเป็นสามัคคีธรรมบน VDO Call เราจะเหลือแค่คนละ 2 หูเท่านั้น ดังนั้น ถ้าต่างคนต่างพูดพร้อมกันมันจะคุยไม่รู้เรื่องเลย และอย่าลืมที่จะปิดไมค์ถ้าเรายังไม่ได้พูด เพราะการเปิดไมค์ทิ้งไว้อาจส่งเสียงรบกวนการสามัคคีธรรมได้

  3. เปิด VDO – การเปิด VDO จะช่วยให้เราแต่ละคนโฟกัสกับการสามัคคีธรรมมากขึ้น เพราะถ้าเรา “ปิด” VDO ในระหว่างที่เรามีสามัคคีธรรมอยู่ เราจะหลุดโฟกัสไปเปิดแอพอื่นๆได้ง่ายมากจริงๆ และการ “เปิด” VDO จะช่วยให้ผู้พูดมีความมั่นใจมากขึ้น เพราะเขาเห็นว่าทุกคนกำลังฟังอยู่ และยังเป็นการแสดงถึงการให้เกียรติผู้พูดด้วย



สุดท้ายนี้ สิ่งที่คริสเตียนทุกคนสามารถทำได้คืออธิษฐานเผื่อสถานการณ์โรคโควิด อธิษฐานเผื่อผู้นำประเทศ เผื่อทีมแพทย์และพยาบาลที่จะทำให้ทุกอย่างคลี่คลายได้ เผื่อผู้นำคริสตจักรในการดูแลคริสเตียนในช่วงนี้ ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าในไม่ช้า เราจะได้ไปเจอกับพี่น้องที่คริสตจักรอีกครั้ง

ดู 1,569 ครั้ง0 ความคิดเห็น
bottom of page